
“คนอะไรโดนทำร้ายมาทั้งชีวิต” “มันตอแหลสร้างเรื่องป่าว?” นี่คือคำพูดของคนที่เคยทำร้ายเธอ ผู้หญิงคนนี้โดนทำร้ายมาทั้งชีวิต จนหลายครั้งที่เธออยากให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องตอแหลที่สร้างขึ้นมาเอง แต่โชคร้ายที่ “มันเป็นเรื่องจริง”
#โดนทำร้ายครั้งแรกและชีวิตใหม่ที่สดใส?
เริ่มจากผู้หญิงคนนี้โดนสามีเก่า (ชาวไทย) ทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งทางร่างกายและจิตใจมาเป็นเวลานาน โชคยังดีที่เธอหนีออกมาได้และฝันที่จะไปเริ่มต้นใหม่ที่ประเทศออสเตรเลีย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเธอได้พบกับสามีใหม่ (ชาวเยอรมันที่เป็นพ่อของลูก ๆ) ทำร้ายร่างกายและจิตใจซ้ำเข้าไปอีก เธอทนอยู่เพื่อลูกนานกว่า 4 ปี จนเกือบ
จะฆ่าตัวตายพร้อมลูก ๆ หลายครั้ง ต่อมาเธอหอบลูกหนีออกมาจากบ้านสามีหลังจากที่เขาจับเธอทุ่มข้างฝาในขณะที่เธอท้อง 5 เดือน จนกระดูกข้อมือซ้ายหักต้องเข้าเฝือกกว่า 3 เดือน
#การเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เกือบจะสดใส
หลังจากที่เธอหนีออกมาพร้อมลูกชายที่เป็นออทิสติกและลูกสาวที่ยังอยู่ในท้อง เธอได้เริ่มชีวิตใหม่กับลูก ๆ กระเสือกกระสนจนได้งานทำ เช่าห้องเล็ก ๆ อยู่กัน 3 คน และไปหาหมอกินยารักษาโรคซึมเศร้าร่วม 2 ปี
ถัดมาเธอได้ส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ Qualified Chef ได้บรรจุงานเป็นเชฟอยู่โรงแรม 5 ดาว ลูก ๆ ได้เข้าโรงเรียน ขณะนั้นเธอเรียนหนังสือพร้อมกับทำงานถึง 2 แห่งรวมไปถึงเลี้ยงลูกทั้ง 2 คน และเธอยังรักษาโรคซึมเศร้าพร้อมกับรักษาลูกชายที่เป็นออทิสติกไปด้วย คำว่า “เหนื่อยสายตัวแทบขาด” เป็นอย่างไร เธอรู้ซึ้งเลยทีเดียว แต่สุขภาพจิตของเธอดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ แต่ยังต้องพบหมออยู่เป็นระยะควบคู่กับการกินยา Depression ทุกวันไม่เคยขาด
หลังจากแยกจากสามีเก่า (ชาวเยอรมัน) มา 3 ปี ชีวิตของสามแม่ลูกเริ่มดีขึ้น เริ่มลืมตาอ้าปากหายใจได้สะดวกขึ้น เธอได้ลุกขึ้นมาเป็นจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กไทยที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว เพราะจากประสบการณ์เธอรับรู้ว่าการที่มีแค่ Me, Myself and I ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร มันลำบาก “เลือดตาแทบกระเด็น” แค่ไหน
#ชีวิตที่พังทลายหายไปชั่วพริบตา
หลังจากนั้นอีก 3 ปี เธอได้ลาออกจากอาชีพเชฟ มาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวในฝันร้านแรกของเธอเอง ในปีถัดมามีผู้ชายออสซี่มาขอเป็นหุ้นส่วนด้วยเพื่อจะเปิดร้านที่สอง โดยลงเงินกันคนละครึ่ง เธอเบิกเงินประกันสังคมที่เก็บจากการทำงานเป็นเชฟเอามาลงทุน อีก 1 อาทิตย์ร้านจะพร้อมเปิด หุ้นส่วนขโมยของไปหมดร้านเหลือไว้แต่โต๊ะกับเก้าอี้และหนี้สิน เธอเกิดอาการช๊อคต้องหามเข้าโรงพยาบาล คราวนี้เธออาการหนักกว่าเดิมต้องกินยาเพิ่มและต้องหานักจิตวิทยาเพื่อเยียวยาจิตใจทุกอาทิตย์ น้ำหนักจาก 52 กิโลกรัม เหลือแค่ 40 กิโลกรัม
มีแต่หนังที่หุ้มกระดูกไว้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หลับตาก็เห็นแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวในฝันที่มันล้มครืนไปต่อหน้า น้ำตาไหลพรากอยู่ตลอดเวลา จนเกือบจะฆ่าตัวตายอีกครั้ง
#ฉันผิดตรงไหน?
ในระหว่างที่กำลังเยียวยารักษาสภาพจิตใจอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ลอบทำร้ายจากกลุ่มคนไทยกลุ่มหนึ่งที่เธอสนิทและไว้ใจมาก จนถึงกับสลบปางตายอยู่ข้างถนน หัวแตก เบ้าตาแตก กรามร้าว และมีคำพูดข่มขู่จากคนที่ทำร้ายถึงเธอว่า “กูจะทำให้มึงไม่มีที่ยืนในสังคม” “กูจะทำให้มึงอยู่ออสเตรเลียไม่ได้” ทำให้โรคซึมเศร้าที่เป็นหนักอยู่แล้วทรุดหนักลงไปอีก
#หันหน้าพึ่งธรรมะ
เธอเลยตัดสินใจเลิกกินเหล้าตลอดชีวิตและเดินทางกลับไปบวชที่เมืองไทย 1 เดือนพร้อมกับให้ครอบครัวเยียวยา ซึ่งตอนนั้นมันมีวิธีนี้วิธีเดียวที่จะทำให้เธอดำเนินชีวิตต่อไปได้ กลับจากบวชสุขภาพจิตก็เริ่มจะดีขึ้นตามลำดับ ก็จัดการจดทะเบียนสมาคมให้ถูกต้องตามกฎหมาย จัดงานสัมมนา “ความรุนแรงในครอบครัว”
2 ครั้ง เพื่อให้ผู้หญิงไทยในต่างแดน ได้รับรู้สิทธิของตน และการช่วยเหลือตนเอง และข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรที่ช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว เพราะเธอไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตัวเองจะจบลงวันไหน
#เธอเสียชื่อเสียงและเสียเพื่อนเพราะ?
อีก 2 ปีต่อมา เธอได้ลุกขึ้นต่อต้านพวกเอเย่นต์วีซ่าเถื่อน และขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ มีสถานีโทรทัศน์/วิทยุหลายรายการที่มาขอสัมภาษณ์ หลังจากพาคนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ทำผิด ในหลาย ๆ คดีก็โดนขู่ฆ่าจากผู้ที่เสียผลประโยชน์มาโดยตลอด โดนขู่ให้เลิกทำงานเพื่อสังคม แต่คำขู่ก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดทำ
หลังจากกลับมาจากสัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ ก็โดนกระหน่ำจากทั่วสารทิศ คราวนี้หนักหนาสาหัสมากกว่าคราวที่แล้ว เพราะโดนกลุ่มคนไทยที่เสียผลประโยชน์และที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว จากหลายกลุ่ม หลายเมือง หลายรัฐ หลายประเทศมารวมตัวกันเพื่อทำลายเธอให้ได้ เริ่มจากการทำให้เสียชื่อเสียง สร้างเรื่องราวเสมือนจริง สร้างข่าวลือ บอกปากต่อปาก ปั่นหัวคนในสังคม ลงหนังสือพิมพ์ โพสต์ในโซเชียลทุกวัน วันละหลาย ๆ รอบ โดยให้การสนับสนุนจากเจ้าของเพจดังเพจหนึ่ง และผู้ที่มีตำแหน่งสูงในออสเตรเลีย 2 คน เธอพยายามที่จะเข้มแข็งใช้วิธีนิ่งไม่โต้ตอบอะไร ใช้ความจริงความบริสุทธิ์ใจเป็นเกราะป้องกันตัวเธอเอง จนกระทั่งมันลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นการคุกคามข่มขู่ที่จะเอาชีวิตเธอ ลูก และพ่อแม่ที่ประเทศไทย แค่นั้นยังไม่พอยังยุยงเป่าหูให้กรรมการสมาคมฯ ที่เธอทั้งรักและไว้ใจ เกิดการเข้าใจผิดในการทำงานของเธอ ทั้ง 3 คน มาลาออกในที่ประชุมและมองเธออย่างเกลียดชัง
#จบชีวิตดีกว่าไหม?
เธอเกิดอาการช๊อคอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม เธอเกิดอาการ Panic attack หายใจไม่ออก อาเจียน ตัวเกร็ง และได้ยินเสียงในหัวตลอดเวลา “ไปฆ่าตัวตายซะ” “จบชีวิตเถอะ ทุกอย่างจะได้จบ” เธอต้องเรียกรถพยาบาลก่อนที่เธอจะสูญเสียการควบคุม หมอได้วินิจฉัยออกมาว่า เธอเป็น “ภาวะผิดปกติทางจิตใจเกิดจากเหตุการณ์รุนแรง (Posttraumatic stress disorder หรือ PTSD) คราวนี้ต้องทำการรักษากันอย่างมโหฬารเพื่อไม่ให้เป็นบ้า หรือ ฆ่าตัวตาย ต้องหาหมอ 3 หมอ กินยาเป็นกำมือทุกวัน ในขณะที่กลุ่มคนที่จ้องจะทำร้ายก็ไม่ลดละ มีการตามล่าหาเธอทุกโรงพยาบาล ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังมีฝ่ายสอดแนมขับรถมาจอดอยู่หน้าบ้าน ข้างบ้าน เพื่อจะมาดูพฤติกรรมเธอ พยายามทุกช่องทางที่จะส่งข้อความ รูปภาพ วีดีโอ เพื่อมาทำร้ายเธอซ้ำอีก เธอกลายเป็นโรค Anti Social อย่างถาวร นอนอยู่บนเตียงไม่ออกไปไหน ไม่ทำอะไร ชีวิตมีแต่การกินยา หาหมอ นอน วน ๆ ไปอย่างนี้ทุกวัน
#ฟ้าหลังฝน
หลังจากโดนทำร้ายอย่างแสนสาหัสมาเป็นเวลาเกือบ 6 เดือน ก็มีหน่วยงานของรัฐบาลออสเตรเลีย ตำรวจ ทนาย และเพื่อน ๆ จิตอาสาที่ยังเชื่อมั่นในตัวเธอ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและจัดแถลงข่าวความบริสุทธิ์ในการทำงานจิตอาสาตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาของเธอ พร้อมทั้งเชิญบุคคลที่กังขาในการทำงานของเธอมาตรวจสอบความโปร่งใสของบัญชีธนาคารของเธออีกด้วย (แต่บุคคลกลุ่มนั้นไม่ได้มาเลยสักคนเดียว)
#ชีวิตที่ปกติที่ไม่ปกติเสียแล้ว
เรื่องราวมันจบแล้วแต่ชีวิตของเธอยังไม่จบ หลังจากนั้นเธอก็ได้ส่งตัวเองไปเข้าหลักสูตรเรียน “Community Services” (นักประชาสงเคราะห์) และพยายามกลับไปดำเนินชีวิตอย่างปกติ แต่ชีวิตของเธอมันไม่ปกติเสียแล้ว หลังจากเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอต้องกินยาต่อเนื่องทุกวัน วันละเป็นกำมือ เธอต้องวิ่งหาหมอประจำตัว – นักจิตวิทยา และจิตแพทย์ทุกอาทิตย์ เพื่อเยียวยาและรักษาสุขภาพจิตที่เสื่อมเสียไปอย่างรุนแรง ยารักษาโรคซึมเศร้าที่เธอกินมาเป็นเวลานาน ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเธอ ทำให้น้ำหนักตัวของเธอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่เธอก็กินอาหารอย่างปกติ ทำให้คนที่มีน้ำหนักไม่เคยเกิน
50 กิโลกรัมมาตลอดชีวิต กลายเป็นคนอ้วนเทอะทะที่น้ำหนักขึ้นถึง 20 กิโลกรัม ตอนนี้เธอมีน้ำหนักเกือบ ๆ 70 กิโลกรัม ซึ่งเป็นผลกระทบจากการรักษาโรคซึมเศร้าของเธอนั่นเอง
#ใครล่ะจะเป็นคนรับผิดชอบ?
ถึงแม้ว่าเรื่องราวนั้นจะผ่านมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ในจิตใจของเธอเหมือนมันพึ่งเกิดเมื่อวาน ยังคงต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง กินยาหาหมออยู่ทุกวัน ใครล่ะจะเป็นคนรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดกับเธอ? และผลกระทบกับชีวิตประจำวันของเธอและลูก ๆ ?
ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ไม่มีแม้แต่คำเห็นใจใด ๆ (ซึ่งเธอก็ไม่ได้ร้องขอ) เธอได้ให้อภัยและอโหสิกรรมพวกเขาเหล่านั้นไปหมดแล้ว จะมีก็แค่สิ่งเดียวที่เธออยากจะขอร้องทุกคนว่า เวลาเจอหน้ากันกรุณาอย่าถามคำถามที่มันบั่นทอนสุขภาพจิต และไม่สร้างสรรค์ เช่น “ ไปทำอะไรมาทำไมอ้วนจัง?” “ทำไมปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อ้วนอย่างนี้?”“โอ้ย…จำไม่ได้เลยอ้วนขึ้นเยอะ” แต่เท่าที่สังเกตส่วนมากคนที่ถามคำถามประเภทนี้ ก็คือคนที่ทำร้ายเธอมาทั้งนั้น ดังนั้น ถ้าช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็อย่ากลับมาทำร้ายกันอีกเลย และขอเป็นกำลังใจให้ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อจากความรุนแรงในครอบครัวและ Cyber Bully ทุกคนในโลกใบนี่ค่ะ
กัญชลา เฟื่องฟู
เจ้าของบทความ: ชีวิตจริงของผู้หญิงคนหนึ่ง
รูปประกอบ: www.freepik.com